ข่าวฟุตบอลต่างประเทศพรีเมียร์ลีก อังกฤษฟุตบอล

เจาะประเด็น ลิเวอร์พูล สิ้นลายโดน เบิร์นลี่ย์ บุกมาเฉือนชนะ

 ล่าสุดโดน เบิร์นลี่ย์ บุกมาเฉือนเอาชนะ ลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ


ลิเวอร์พูล ก็ยังคงต้องอยู่ในสถานการณ์วิกฤติอยู่ดี ในเรื่องฟอร์มการเล่นอย่างหนัก โดยล่าสุดก็โดน เบิร์นลี่ย์ บุกมาเฉือนชนะ 0-1 ถึงสนามแอนฟิลด์ ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อช่วงวันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา โดยได้ทำให้สถิติไร้พ่ายในบ้านมากกว่า 3 ปีสิ้นสุดลงไปแล้ว

โดยเกมนี้ทาง เจอร์เก้น คล็อปป์ เลือกที่ดร็อปผู้เล่นหลายคนโดยเฉพาะในแนวรุกที่ให้ทางนักเตะอย่าง ดิว็อค โอริกี้ กับ เซอร์ดาน ชากีรี่ ลงตัวจริง โดยที่ทาง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ นั่งสำรอง แม้ว่าหงส์แดงนั้นจะครองเกมได้เหนือกว่าทีมเยือนหลายขุม แต่สิ่งที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่นั้นก็คือการจบสกอร์ที่ขาดความเฉียบคมไปอย่างสิ้นเชิง จากความพ่ายแพ้ในแมตช์นี้ ก็ส่งผลกระทบทั้งเรื่องสภาพจิตใจของทีม และในเรื่องการลุ้นแชมป์ เนื่องจากทาง “เดอะ เร้ดส์” ตามหลังจ่าฝูงอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 6 แต้ม และยังโดนทาง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ กับ เอฟเวอร์ตัน กดดันอันดับท็อปโฟร์ ซึ่งในเวลานี้เกมลีกผ่านไปครึ่งทางแล้ว

ลิเวอร์พูล
ภาพจาก www.siamsport.co.th

และหนทางการลุ้นแชมป์ที่ยังยาวไกล แต่ถ้าพวกเขานั้นยังไม่สามารถฝืนคืนสถิติได้ คงต้องปิดโอกาสในการป้องกันแชมป์ลีกได้เลย และไปลุ้นความสำเร็จในฟุตบอลถ้วย กับทำอันดับคว้าโควตาไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็เท่านั้น ตอนนี้เจอร์เก้นคล็อปป์ต้องเรียกประชุมทีมอย่างเร่งด่วน เพื่อระดมความคิดเพื่อหาทางแก้ปัญหาการจบสกอร์ของทัพ “หงส์แดง” เนื่องจากตอนนี้ไม่สามารถทำประตูในลีกได้ 4 นัดติดต่อกันและไม่ชนะ 5 เกมติดต่อกัน

นัดนี้ “หงส์แดง” ครองเกมได้ทุกอย่าง โอกาสในการทำประตูรวมถึงการยิงเข้าเป้า แต่สิ่งที่หายไปคือ “ประตู” ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับว่าเป็นวิกฤตของทีมจริงๆ และหากสถานการณ์ไม่ได้รับการแก้ไขก็อาจไปได้ไกลกว่านี้ เรื่องการจบต้องบอกว่าคล็อปป์งงจนถึงตอนนี้ว่าทำไมแนวรุกถึงยิงประตูไม่ได้ ลองนึกถึงตอนท้ายของเกมที่ ดิว็อค โอริกี้ ล้มคนเดียว แต่ชนคาน ซึ่งถ้าเป็น 2-3 ฤดูกาลที่แล้วจังหวะแบบนี้สามารถทำคะแนนนำได้

ดังนั้นศักยภาพของผู้เล่นของลิเวอร์พูลจึงไม่ใช่ปัญหาเพราะพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าในทุกสิ่ง สร้างโอกาสมากมาย แต่ปัญหาที่แท้จริงคือสภาพจิตใจ พวกเขาอยู่ในช่วงที่ไม่มั่นใจ ในเกมนี้เห็นได้ชัดว่ามีจังหวะที่ทำให้บ่อยครั้งที่ไม่กล้าเปิดเกมในช่วงต้นผมต้องรอสักครู่เพื่อให้มันผ่านไปจนกว่าเบิร์นลีย์จะกลับมาป้องกันได้ การไม่ชนะห้าเกมติดต่อกันแถมยังแพ้สองนัดและแม้จะพลาดสี่เกมติดต่อกันนี่ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับลิเวอร์พูลในยุคคล็อปป์ ต้องรีบหาจุดเปลี่ยนหากคุณไม่ต้องการหล่นอันดับในตารางลีกต่อไป

เบิร์นลี่ย์
ภาพจาก www.siamsport.co.th

หลายคนคิดว่า แอชลี่ย์ บาร์นส์ เป็นฮีโร่ในเกมที่แอนฟิลด์ เพราะเขาคือคนที่เรียกจุดโทษและทิ้งการสังหาร แต่หากมองไปที่ผู้เล่นที่ซ่อนทองของพวกเขาและส่วนสำคัญอย่างยิ่งในชัยชนะของเบิร์นลีย์คือนิคโป๊ป นักวิเคราะห์ทีมชาติอังกฤษเป็นฮีโร่ให้กับต้นสังกัดในเกมเสมอแอนฟิลด์ 1-1 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สิ่งนี้หยุดสถิติชัยชนะติดต่อกันของ “เดอะเร้ดส์” ในบ้านเพียง 24 เกมและครั้งนี้ที่เดิมโป๊ปยังคงเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่เก็บ 3 แต้มกลับบ้านได้

ตามสถิติแล้วสมเด็จพระสันตะปาปามีบทบาทอย่างมากในชัยชนะของเบิร์นลีย์ด้วยการเซฟ 6 ครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาสำคัญที่แสดงปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วในการเคาะบอลใกล้เสาจากการยิงของโม ฮาเหม็ดซาลาห์ครึ่งหลัง ในเวลาเดียวกันสมเด็จพระสันตะปาปาแสดงให้เห็นถึงการนำของเขาด้วยการตะโกนออกมาจากกองหลัง เพื่อให้ทีมได้ค้นหาว่าเจ้าบ้านเล่นเกมรุกอย่างไรในด้านความนิ่งต้องบอกว่าโกลวัย 28 ปีเต็มที่เขาไม่กลัวโดนแนวรุก “หงส์แดง”

และมั่นใจใน ทุกจังหวะที่ออกมาเพื่อตัดบอล เชื่อกันว่าถ้ามองว่าเป็นการ โป๊ป นี่แหละคือแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนี้เพราะไม่สามารถทำประตูได้เหมือนกองหน้า แต่การบันทึกช่วงเวลาสำคัญของเขาคือจุดเปลี่ยนที่นำไปสู่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่แอนฟิลด์

WM
ภาพจาก www.siamsport.co.th

การได้โจอัลมาติปกลับมาในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คที่จับคู่กับฟาบินโญ่น่าจะดีที่สุดสำหรับ “เดอะค็อป” ในเวลานี้เพราะฟอร์ม ดาวเตะชาวแคเมอรูนถือว่าน่าประทับใจมากในการรับมือกับแนวรุกของเบิร์นลีย์ มาติปยืนตำแหน่งได้ดี รวดเร็วป้องกันการเล่นโต้กลับของแขกที่อยู่ในการควบคุมนอกจากนี้ยังมักจะพาบอลเข้าไปในพื้นที่ของฝ่ายตรงข้าม เพื่อช่วยเติมเต็มการโจมตีและกดดันการป้องกันของเบิร์นลีย์ แต่น่าเสียดายที่ผลงานของเขาไม่สมบูรณ์แบบเนื่องจากต้นสังกัดแพ้

ผู้เล่นส่วนหนึ่งที่ต้องถูกตำหนิเป็นพิเศษคือเทรนต์อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เพราะตั้งแต่คลายล็อกผลงานของ“ หนุ่มเทรน” ยังไม่โดดเด่นเลย ที่สำคัญในหลาย ๆ เกมที่ผ่านมาแบ็กเลือดดีขาวยังไม่ทิ้งเทคนิครวมถึงการครอสบอลที่แม่นยำ และยิงฟรีคิกสุดอันตราย ในเกมนี้เทรนต์มีโอกาสเปิดบอลสิบครั้ง แต่สรุปคือหันไปหากองหลังหรือไม่งั้นก็โล่งจนทีมเล่นไม่ได้ งานนี้คล็อปป์อาจต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ “เทรนท์” กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง

วิธีแก้ไขอย่างหนึ่งที่ต้องดำเนินการคือการทิ้งเขาและให้โอกาส เนโก วิลเลี่ยมส์ อย่างน้อยๆ ที่จะสูญเสียตำแหน่งตัวจริงของเขา อาจเป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่สุดสำหรับอเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์คุณต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเรียกฟอร์มกลับมาให้เร็วที่สุด ไม่งั้นคงได้นั่งเป็นตัวสำรองไปอีกนาน

พรีเมียร์ลีก
ภาพจาก www.siamsport.co.th

คล็อปป์ตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยนหลาย ๆ อย่างในแมตช์นี้ เนื่องจากต้องเพิ่มความหลากหลายในการแสดงและเพื่อไม่ให้เบิร์นลีย์จับทางได้หลังจากผู้เล่นรายเดิม ที่ถูกส่งลงสนามติดต่อกันหลายเกมโดนคู่แข่งถล่มเละทุกวิถีทาง การใช้โรเตชั่นไม่ส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งที่ผู้คนคาดหวังในเกมนี้เพราะ “เดอะเร้ดส์” ยังคงครองเกมได้ และพวกเขาพยายามกดดันเบิร์นลีย์ตลอดทั้งเกม แต่สิ่งที่ส่งผลต่อทีมคือคุณภาพของผู้เล่นที่มีส่วนสำคัญในช่วงเวลาสำคัญของหงส์แดง

ช่วงเวลาหนึ่งที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของเกมนี้คือช่วงท้ายเกมครั้งแรกที่เบ็นเตะผิดลูกส่งคือผู้รักษาประตูปล่อยให้โอริจี้รับบอลและลากเข้าสู่การดวลตัวต่อตัวกับ โป๊ป แต่เขาเลือกที่จะยิง ไปชนคาน คิดถูกแล้วถ้าเป็นซาลาห์หรือเฟอร์มิโน่ (ทั้งคู่หลุดเป็นตัวสำรอง) ก็คงไม่เหลือ ฉะนั้นการที่ นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช เลือกที่จะใช้ระบบโรเตชั่นในเกมนี้ เพราะนัดต่อไปพวกเขาต้องสู้ “แดง” นอกรอบเยือนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเอฟเอคัพอาจเป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา

เบิร์นลีย์เป็นทีมที่บีบให้ลิเวอร์พูลต้องหยุดสถิติชนะ 24 บ้านเมื่อฤดูกาลที่แล้ว และในฤดูกาลนี้พวกเขายังคงถูกหลอกหลอนด้วยการทำลายสถิติไม่แพ้ใครที่แอนฟิลด์ตั้งแต่ เดือนเมษายน 2017 “หงส์แดง” สะกดผิด “แพ้” ในเกมลีก 68 นัดที่เล่นในแอนฟิลด์ซึ่งเป็นสถิติไร้พ่ายที่ยาวนานที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ฟุตบอลผู้ดี โดยรวมแล้วใช้เวลา 3 ปี 273 วัน แต่ตอนนี้ก็จบลงแล้ว ด้วยจังหวะจุดโทษของบาร์นส์

ขณะที่เบิร์นลีย์ก็สร้างประวัติศาสตร์ให้กับพวกเขาเช่นกัน ทั้งสองประตูที่ทำได้สำหรับเมล็ดพันธุ์แรกตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคมปีที่แล้วในขณะเดียวกันนี่ยังคงเป็นชัยชนะที่แอนฟิลด์ ในเกมลีกนัดแรกนับตั้งแต่ปี 1974 แต่สิ่งหนึ่งที่จะจดจำไปอีกนานคือนายพล “ เดอะคลาเร็ตส์” ชุดนี้เป็นการบุกไปเยือนลิเวอร์พูลที่ยืนหยัดมากว่า 3 ปีได้สำเร็จ

อังกฤษ
ภาพจาก www.siamsport.co.th

ยิ่งไปกว่านั้นความพ่ายแพ้ในเกมนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อลิเวอร์พูลเนื่องจากพวกเขาอยู่ 6 แต้มตามหลังแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและมีความเสี่ยงที่จะโดนทั้งท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์ และเอฟเวอร์ตันทำประตูในสี่อันดับแรกเช่นกัน หากคล็อปป์แอนด์โคยังไม่สามารถแก้ปัญหาฟอร์มตกสิ่งที่สาวก “เดอะค็อป” ไม่อยากเห็นคือพวกเขาจะไม่ได้ตั๋วลุยศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลหน้า

รวมข่าวล่าสุด ที่คุณสนใจ เว็บไซต์ DooDiDo.com รวมข่าวร้อนประเด็นดัง เว็บนี้ วิเคราะห์บอลระดับ เซียน ติดตามความเคลื่อนไหวทีมชาติและและต่างประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง DooDiDo อัพเดทข่าวสาร สดใหม่ทุกวัน ข่าวรวดเร็ว ข่าวฟุตบอลมาแรง อัพเดททุกการแข่งขันทุกนัด เราคือข่าวสารกีฬาดัง ที่ใหญ่ที่สุด

แหล่งที่มา : SIAMSPORT